เมื่อกล่าวถึงน้ำมันที่ใช้ในรถยนต์มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ซึ่งน้ำมันชนิดต่างๆ มีหน้าที่ในการหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และ ลดการสึกหรอ แต่น้ำมันที่มีความสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวกับระบบห้ามล้อ ซึ่งหลายท่านอาจมองข้ามไปจนทำให้ระบบห้ามล้อ สึกหรอเร็วกว่ากำหนด น้ำมันชนิดนี้ก็คือ น้ำมันเบรก
ในขณะที่เราเบรกความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีระหว่างผ้าเบรกกับจานหรือดุมล้อจะถ่ายเทผ่านก้านดันผ้าเบรกเข้าสู่ลูกสูบ และ น้ำมันเบรก เมื่อเราต้องเหยียบเบรกอย่างแรง กะทันหัน หรือเหยียบเบรกอยู่บ่อยๆ ภายใต้ความเร็วสูง ความร้อนที่ถ่ายเทสู่ น้ำมันเบรกจะมีปริมาณมากและอาจระบายสู่ส่วนอื่นไม่ทัน ทำให้น้ำมันร้อนขึ้นมาก หากน้ำมันเบรกร้อนจนถึงจุดเดือดของมัน มันก็จะระเหยกลายเป็นไอในกระบอกสูบเบรกที่ล้อทันที และเมื่อระบายความร้อนออกไปได้ ไอก็จะยุบตัวเป็นของเหลว ในช่วงนี้จะไม่มีแรงดันที่จะไปกระทำต่อลูกสูบเบรกให้ไปดันผ้าเบรกทำให้เกิดอาการเหมือนไม่มีเบรก และ เบรกไม่อยู่ได้ ดังนั้น จุดเดือดของน้ำมันเบรกจึงมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการเบรกมาก
น้ำมันเบรกมีหน้าที่ในการเป็นตัวกลางส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรกตัวบนไปยังลูกสูบเบรก น้ำมันเบรกที่ดีจะต้องมีจุดเดือดสูง เพื่อไม่ให้น้ำมันเบรกร้อนเร็วเกินไปจนกลายเป็นไอไม่สามารถถ่ายเทแรงดันได้ตามปกติ น้ำมันเบรกที่มีจำหน่ายอยู่ตามศูนย์บริการ น้ำมันเบรกที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปจะต้องได้รับรองมาตรฐาน ซึ่งแบ่งตามจุดเดือด และ จุดชื้นซึ่งมีชนิด DOT 3 , DOT 4 , และ DOT 5 การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกควรเปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 1 ปี (ถ้ารถใช้น้อย) หรือ เปลี่ยนทุก ๆ 40,000 กม. เพื่อไล่ความชื้นที่ผสมอยู่ในน้ำมันเบรกออกจากระบบ ช่วยป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมที่เกิดจากความชื้น ซึ่งจะทำให้ลูกยางเบรกบวม หรือ ฉีกขาดจนทำให้น้ำมันเบรกรั่วซึมและเบรกไม่อยู่ .
การเปลี่ยนน้ำมันเบรกนั้นถ้าคุณนำรถเข้าเช็คที่ศูนย์บริการตามระยะ ทางช่างจะแจ้งให้ทราบว่าควรเปลี่ยนถ่ายหรือไม่ แต่ถ้าตรวจเช็คเองก็อาจจะจดประวัติการเปลี่ยนถ่ายไว้หรือจะสังเกตจากสีน้ำมันเบรกก็ได้ถ้ามีสีเปลี่ยนไป หรือ ดำขึ้นก็ควรเปลี่ยนครับ ท้ายนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุข ร่ำรวยเงินทอง กันทุกท่านเลยครับ.