เราทราบกันอยู่แล้วว่า น้ำมันเครื่องเป็นสารหล่อลื่น ที่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายตามระยะที่กำหนดแน่นอนถ้าไม่เปลี่ยนถ่ายตามระยะเวลาที่กำหนดจะทำให้เครื่องยนต์เกิดการเสียหายได้
น้ำมันเครื่องที่ผลิตออกมาสู่ตลาดมีด้วยกันมากมายหลายบริษัท แต่ละบริษัทจะบ่งบอกประเภทของน้ำมันเครื่องไว้ ดังนี้
แบ่งตามประเภทความหนืด และ แบ่งตามคุณภาพ
แบ่งตามประเภทความหนืด จะมีอักษรคำว่า SAE ย่อมาจาก Society of Automotive Engineers แปลว่า สมาคมวิศวกรยานยนต์ ที่ภาชนะบรรจุจะประทับ คำว่า SAE หน้าดัชนีความหนืดของน้ำมัน ตามด้วยค่าดัชนีความหนืด ยกตัวอย่าง เช่น 10w-30 หรือ 15W-40 หรือ 20W-50 หมายถึง เป็นน้ำมันเครื่องแบบเกรดรวม เพราะความหนืดของน้ำมัน จะไม่เปลี่ยนแปลงมักนักตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ จึงสามารถใช้ได้ทุกฤดูกาล ปัจจุบันเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
แบ่งตามคุณภาพ จะมีอักษรคำว่า API ย่อมาจาก AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE แปลว่า สถาบันปิโตรเลี่ยมของสหรัฐอเมริกา ที่ภาชนะบรรจุจะประทับคำว่า API และตามด้วย ตัวอักษร SA , SB ,SC , SD , SC , SH หรือ SJ อันนี้จะเป็นของเครื่องยนต์เบนซิน แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล จะเป็น CA , CB , CC , CD , CE, หรือ CF
น้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์เบนซินจะขึ้นต้นด้วยตัว S และมีอักษรตามหลังยิ่งไกลจากตัว A มากเท่าไหร่ คุณภาพจะดียิ่งขึ้น
น้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์เบนซินก็เช่นกันจะขึ้นต้นด้วยตัว C และจะมีอักษรตามหลังยิ่งไกลจากตัว A มากเท่าไหร่ คุณภาพจะยิ่งดีขึ้น แต่ภาชนะที่บรรจุของน้ำมันเครื่องดีเซลตัวเลขหลังตัวอักษรด้วย เช่น CF-4 ตัวเลข 4 หมายถึง เครื่องยนต์ 4 จังหวะ
น้ำมันเครื่องที่ดี ควรจะมีประสิทธิภาพตรงตามมาตรฐานของ API และ SAE ดังนั้น การเลือกใช้น้ำมันเครื่องจะต้องใช้อย่างถูกชนิด ถูกประเภท ปัจจุบันได้มีการพัฒนาในเรื่องของน้ำมันเครื่องให้ดียิ่งขึ้น ทุกบริษัทต่างฝ่ายต่างคิดค้นและพัฒนาคุณภาพของน้ำมันเครื่อง โตโยต้าก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่พัฒนาน้ำมันเครื่องเหนือกว่าคู่แข่งอื่นที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์โตโยต้าเกรดของน้ำมันเครื่องโตโยต้า บ่งบอกถึงค่าความหนืด SAE และคุณภาพของ API ที่เหมาะสมกับรถยนต์ในปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณภาพ
Kapook Car