ภัยทางธรรมชาติทุกวันนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งหมดว่า จะเกิดขึ้นเมื่อใด, เวลาใด, สถานที่ใด สิ่งที่มนุษย์ กระทำได้ คือ “การป้องกัน” ในบางครั้งมีการป้องกันอย่างดีแล้ว ก็ยังพลาดท่าให้กับภัยธรรมชาติอยู่ดี การขับรถยนต์ก็เช่นเดียวกัน ไม่อาจรับรู้ ได้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะมีน้ำเข้ามาขวางกั้นหรือไม่ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ก็ต้องฟันฝ่า อุปสรรคนั้นไป ดังนั้น เมื่อมีเหตุการณ์น้ำท่วมขณะขับรถ ควรปฏิบัติดังนี้
1. ใช้ความเร็วต่ำ
การใช้ความเร็วต่ำ จะทำให้เกิดผลที่ดี กล่าวคือ การเคลื่อนที่ของรถเป็นไปอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับพวงมาลัย, การเบรก, ขณะเคลื่อนที่อย่างช้าๆ, น้ำก็ไม่กระเด็นโดนเครื่องยนต์ หรือ ชิ้นส่วนอื่นด้วย นอกจากนั้น การกระจายของน้ำขณะที่รถวิ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมทาง และผู้ที่สัญจรไปมาอีกด้วย
2. การคาดเดา
เมื่อมีน้ำท่วมเราสามารถรับรู้ได้ว่า พื้นผิวถนนเป็นอย่างไร เป็นหลุม, เป็นบ่อ, มีก้อนหิน, มีโคลน หรืออื่นๆ อยู่ใต้ผิวน้ำหรือไม่ ซึ่งการที่จะลงรถไปดูถนนคงทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องคาดเดาไว้ว่า อาจจะมี ดังนั้น ต้อง “ระวัง” ให้ดี
3. อย่า! หยุดการเคลื่อนที่ของรถ
ถ้ารถยนต์ไม่มีการเคลื่อนที่ขณะน้ำท่วม น้ำที่ท่วมสามารถที่จะไหลเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆของเครื่องยนต์, เกียร์, เบรก และอื่นๆได้ อีกมากมาย ดังนั้น จะต้องเคลื่อนที่อย่างสม่ำเสมอ (ดังข้อที่ 1) ถ้าไม่กระทำเช่นนี้จะเกิดการเสียหายอย่างมาก
หลังจาก ผ่านพ้นอุปสรรคจากน้ำท่วมแล้ว ทำอย่างไร
1. เมื่อขับรถผ่านพ้นน้ำแล้ว ผู้ขับขี่ซึ่งจะต้องเดินต่อไป ให้ค่อยๆแตะเบรกช้าๆและเบาๆ เพื่อต้องการให้ชุดเบรก และผ้าเบรกเกิดการแห้งตัว การทำเช่นนี้ จะช่วยให้เบรกมีประสิทธิภาพคงเดิม ถ้าไม่ทำเช่นนี้การเบรกจะไม่อยู่และจะลื่น ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
2. หลังจากที่ปฏิบัติการกับชุดเบรกแล้ว ต่อมาให้ใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น เพื่อต้องการให้น้ำที่ค้างอยู่ในส่วนต่างๆของรถยนต์หลุดออกควรทำเช่นนี้ มิฉะนั้น น้ำที่ติดค้างอยู่ จะทำให้เกิดการชำรุด เช่น ขั้วไฟ, สายไฟ, เซ็นเซอร์ และตัวถังอาจผุกร่อนได้ ดังนั้น สามารถทำได้ขณะขับขี่
3. เมื่อถึงที่หมายแล้ว ถ้าเป็นไปได้ให้ทำการล้างรถ ขจัดสิ่งต่างๆให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นซุ้มล้อใต้ท้องรถ และจุดอื่นๆ (ทำเองเท่าที่ทำได้) แต่ถ้าต้องการล้าง อัด ฉีด ที่สถานีบริการ ก็จะดี เพราะที่สถานีบริการจะมีแรงดันน้ำที่สูง จึงทำให้สิ่งต่างๆ หลุดออกโดยง่ายนั่นเอง
4. ให้ตรวจสอบบริเวณห้องเครื่องยนต์ ว่ามีสิ่งใดเสียหาย หรือ มีสิ่งติดค้างมาขณะที่ผ่านน้ำท่วมหรือไม่ ต่อจากนั้นให้ตรวจสอบน้ำ และน้ำมันต่างๆ (ตรวจเองคงไม่ยากเกินไป) ว่ามีการปนของน้ำมาด้วยหรือไม่
5. คราวนี้มาตรวจ (ภายใน) กันบ้าง ว่ามีน้ำเข้ามาในรถหรือไม่ โดยการนำผ้ายางปูพื้นออก (แน่นอนที่สุดให้ผ้ายางย่อมมีน้ำเกาะ) ให้ทำการสัมผัสที่พรมพื้นรถ ถ้าเปียกแสดงว่ามีน้ำเข้ามาอย่างแน่นอนแต่ถ้ากดพรมแล้วไม่แน่ใจ ให้ใช้กระดาษชำระทดลอง ซับบริเวณนั้น ก็พิสูจน์ได้เช่นกัน ถ้ามีน้ำเข้ามาแล้วทำให้พรมเปียก ต้องรีบถอดพรมออกซักทำความสะอาดโดยด่วน มิฉะนั้น นอกจากจะให้พรมเกิดความเสียหายแล้ว ยังทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆ เกิดขึ้นโดยง่ายอีกด้วย
6. หลังจากที่ทำตามขั้นตอนแล้ว ไม่พบปัญหาใดๆ เกิดขึ้น ให้นำรถยนต์ไปตากแดด เพื่อไล่ความชื้น อีกครั้ง ก็จะดีมากครับ หมายเหตุ หากไม่แน่ใจว่ารถยนต์ของตนเองเป็นอย่างไรขณะขับผ่านน้ำท่วม และไม่สามารถกระทำด้วยตนเองได้ ให้ปรึกษากับทางศูนย์บริการรถยนต์นั้นๆ เป็นดีที่สุด