ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ปรับขึ้นมาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าน้ำมันที่ปรับขึ้นทุกวัน
สำหรับใครที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์เป็นประจำทุกวันก็คงหลีกหนีค่าน้ำมันไม่ได้
เติมน้ำมันแต่ละครั้งราคาก็ปรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าจะลดลง
แต่เราสามารถช่วยให้คุณประหยัดการใช้น้ํามันเชื้อเพลิงด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. ลมยาง
หากลมยางอ่อนเกินไป จะทําให้เกิดแรงเสียดสีมากขึ้น ภาระของเครื่องยนต์ทํางานหนักโดยไม่จําเป็น
ส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ํามันมากกว่าปกติ เพราะฉะนั้น ควรหมั่นตรวจสอบลมยางรถยนต์อยู่เสมอ
และควรเติมลมยางให้ได้ตามที่มาตรฐานกําหนด ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง
จะทําให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิงและทําให้ยางสึกหรอน้อยลงอีกด้วย
2. กรองอากาศเครื่องยนต์
ไส้กรองอากาศมีไว้เพื่อช่วยในการดักจับฝุ่นละออง รวมไปถึงเศษสิ่งสกปรก
ไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์ได้ หากใช้งานมานาน กรองอากาศอาจอุดตันได้
ส่งผลให้อากาศผ่านเข้าไปในกระบอกสูบน้อยลง ทําให้การเผาไหม้ในห้องเครื่องไม่สมบูรณ์
ส่งผลให้กินน้ํามันเชื้อเพลิง เพราะฉะนั้นแล้ว ควรหมั่นตรวจไส้กรองอากาศทุก ๆ เดือน หากสกปรกมากควรเปลี่ยนใหม่
3. ควบคุมความเร็วให้เหมาะสม และ สม่ําเสมอ
ขับรถเร็วเท่าไหร่ รถยนต์ยิ่งกินน้ํามันมากขึ้นเท่านั้น เป็นหลักการพื้นฐานที่ทราบกันดีอยู่แล้ว โดยปกติ
รถยนต์ส่วนใหญ่จะประหยัดที่สุดเมื่อใช้ความเร็ว 50-80 กิโลเมตร/ ชั่วโมง หากใช้ความเร็วเกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
จะทําให้กินน้ํามันเชื้อเพลิงมาก ขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ ผู้ขับขี่จะต้องรักษาความเร็วให้สม่ําเสมอตลอดเส้นทางการเดินทาง
จะช่วยเครื่องยนต์ทํางานได้อย่างราบรื่น และลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงได้อีกด้วย
4. ออกตัวรถเบา ๆ เร่งเครื่องเฉพาะจําเป็น
เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่จะช่วยให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง หากผู้ขับขี่ออกตัวรถแบบรวดเร็วทันทีทันใด
เครื่องยนต์ก็จะทํางานหนักขึ้น เครื่องยนต์ก็จะสึกหรอมากขึ้น และที่สําคัญ
ทําให้สิ้นเปลืองน้ํามันเชื้อเพลิงมากขึ้นตามมาอีกด้วย การออกตัวรถแบบรวดเร็วกระชากนั้น
ทําให้สิ้นเปลืองน้ํามันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ แต่ยังส่งผลเสียต่อยางแท่นเครื่อง เพลาขับ
เพลากลาง และชิ้นส่วนอื่น ๆ ในระบบส่งกําลังใuระยะยาวอีกด้วย
5. แตะเบรกให้น้อยลง ใช้การชะลอรถแทน
การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เพื่อชะลอความเร็ว เมื่อถึงทางแยกเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยประหยัดน้ํามันได้ดี
หากผู้ขับขี่มองเห็นว่าทางด้านหน้าเป็น 4 แยกไฟแดง และจะติดไฟแดงให้ถอนคันเร่ง
ปล่อยรถให้ไหล ไปตามแรงเฉื่อย กรณีเป็นรถเกียร์ธรรมดาให้ปลดเกียร์ว่างและปล่อยให้รถไหลไปแล้วจึงแตะเบรก
แต่ผู้ขับขี่ก็ต้องคํานวณความเร็ว ณ ปัจจุบันด้วยว่า ควรปล่อยให้รถไหลในระยะใดที่รถจะหยุดได้อย่างปลอดภัย
หากปฏิบัติได้ก็จะช่วยให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง
6. ใส่เกียร์ว่าง (N) เมื่อรถติดนาน ๆ
แนะนําให้เข้าเกียร์ว่าง (N) แทนที่จะเข้าเกียร์เดินหน้า (D) ทิ้งไว้ เนื่องจากวิธีนี้
จะช่วยให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง หากเข้าเกียร์ D ไว้
ระบบเครื่องยนต์กับระบบส่งกําลังจะมีการเชื่อมต่อกัน
เพื่อทําให้รถยนต์ขับเคลื่อนในจังหวะนี้ หากผู้ขับขี่เหยียบเบรกค้างไว้
เครื่องยนต์ก็จะมีภาระที่จะขับเคลื่อน ทําให้สิ้นเปลืองน้ํามันเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ
7. หลักเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรติดขัด
ในปัจจุบันมีระบบ GPS มาอํานวยความสะดวกในการเดินทาง ที่ทําให้คุณเดินทางไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว
และยังบอกสถานะการจราจร ณ เส้นทางนั้น ๆ ให้คุณตัดสินใจอีกด้วยว่าคุณจะเลือกไปเส้นทางสั้นที่สุด
แต่รถติดหรือคุณจะเลือกไปเส้นทางที่ไกลกว่าแต่รถไม่ติด แถมไปถึงที่หมายได้เร็วกว่าเส้นทางที่สั้น
การติดเครื่องยนต์จอดรถอยู่กับที่ทําให้สิ้นเปลืองน้ํามันเชื้อเพลิง
8. ไม่บรรทุกของหนัก
การบรรทุกสัมภาระที่มีน้ําหนักมากโดยไม่จําเป็น
ส่งผลให้เครื่องยนต์ทํางานหนักขึ้นตามไปด้วย
แน่นอนว่าส่งผลให้สิ้นเปลืองน้ํามันเชื้อเพลิงมากขึ้นตามไปด้วย
เพราะฉะนั้นหากคุณมีสัมภาระที่ไม่จําเป็นให้นําออกไปจากรถบ้าง
นอกจากจะทําให้รถคุณสะอาดตา เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
ยังช่วยให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิงไปได้มากเลยทีเดียว
9. ไม่ขนของไว้บนหลังคา
สําหรับท่านที่ชื่นชอบการท่องเที่ยว มักนิยมติดตั้งแร็คหลังคารถ (ที่บรรทุกของบนหลังคา)
แต่สิ่งนี้อาจทําให้เปลืองเชื้อเพลิงขึ้นอย่างมาก เพราะตามหลักอากาศพลศาสตร์ของรถจะส่งผลเสีย
เนื่องจากหลังคารถมีการออกแบบมาให้ลู่ลม หากคุณนําอุปกรณ์มาติดตั้งเพิ่มเติม
จะทําให้เกิดแรงต้านมากขึ้น ส่งผลให้ กินน้ํามันเชื้อเพลิงมากขึ้นพอสมควร
แนะนําว่าเมื่อไม่มีความจําเป็นก็ควรถอดอุปกรณ์เสริมออกจะดีกว่า เมื่อมีความจําเป็นที่จะต้องใช้งานจึงค่อยนํามาติดตั้ง
10. เปิดแอร์เย็นเกินไป
คุณทราบหรือไม่ว่า การทํางานของเครื่องปรับอากาศในรถยนต์นั้น ทําให้เครื่องยนต์มีภาระเพิ่มขึ้น
ส่งผลให้กินน้ํามันเชื้อเพลิงมากขึ้น ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าให้ปิดแอร์แล้วเปิดกระจกขับรถ
เพียงแค่แนะนําให้ปรับตั้งอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการใช้งาน ไม่ควรปรับแอร์ให้มีองศาที่ต่ําเกินความจําเป็น
เพื่อลดการทํางานของคอมเพรสเซอร์แอร์และภาระของเครื่องยนต์ ช่วยให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิงมากขึ้น
11. วางแผนการเดินทาง
การเดินทางในแต่ละครั้ง ผู้ขับขี่ควรศึกษาเส้นทางก่อนเดินทาง โดยเลือกเส้นทางที่ไม่มีการทําถนน
เส้นทางขรุขระหรือเส้นทางที่มีการจราจรติดขัด นั่นก็หมายถึงการขับขี่รถยนต์บนพื้นถนนที่เรียบ (ถนนลาดยาง)
จะทําให้เครื่องยนต์ทํางานสม่ําเสมอ ทําให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง หากถนนที่คุณขับขี่ผ่านเป็นหลุมเป็นบ่อ
ถนนไม่ราบเรียบ ในขณะล้อรถตกหลุมเครื่องยนต์ก็จะมีภาระเพิ่มขึ้น เพื่อให้ล้อรถขึ้นจากหลุม
หรือถนนเส้นทางที่ไม่ราบเรียบ ก็ส่งผลต่อภาระเครื่องยนต์เช่นกัน
และอาจส่งผลเสียต่อระบบรองรับน้ําหนัก (โช้ค แหนบ ฯลฯ) ในระยะยาวอีกด้วย
เพราะฉะนั้นแล้วควรเลือกเส้นทางที่ราบเรียบ เพื่อการเดินทางที่สะดวกและประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง
12. การเลือกใช้โหมด Eco
สําหรับรถยนต์ TOYOTA บางรุ่น ปัจจุบันจะมีโหมด ECO ติดตั้งกับตัวรถไปให้
เมื่อผู้ขับขี่กดปุ่ม ECO เริ่มทํางาน กล่อง ECU จะควบคุมการจ่าย
น้ํามันเชื้อเพลิงไปยังหัวฉีดให้มีการฉีดน้ํามันเชื้อเพลิงน้อยลง
ถึงแม้ผู้ขับขี่จะกดคันเร่งมากขนาดไหน กล่อง ECU ก็จะควบคุมไม่ให้หัวฉีด
ฉีดน้ํามันเชื้อเพลิงมากเกินไป ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสําหรับชาวโตโยต้าที่ทําให้ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิงมากขึ้น
แต่โหมดการใช้งานนี้ อาจจะทําให้อัตราเร่งไม่ดีมากสักเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นโหมดประหยัดเชื้อเพลิง
แต่สําหรับการขับขี่ใช้งานปกติถือว่าเพียงพอเลยทีเดียว
13. การเลือกป็นเพื่อเติมน้ํามัน
เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สําคัญ เนื่องจากราคาน้ํามันในปัจจุบันมีราคาค่อนข้างสูง
การเลือกปั้มที่จะเติมนั้นก็ต้องมาดูรายละเอียดปลีกย่อย เพื่อความคุ้มค่า
เช่น ของแถม, บัตรคูปองส่วนลดอาหารเครื่องดื่ม, แต้มคะแนนที่ได้คืนจากการใช้บัตรเครดิตร่วมรายการ
ราคาน้ํามันที่ต่างกันและองค์ประกอบอื่น ๆ ซึ่งจุดนี้ ผู้ขับขี่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม
และความคุ้มค่ากับสิ่งตอบแทนที่ปั้มน้ํามันแต่ละแห่งนําเสนอ
14. เปลี่ยนน้ํามันเครื่อง
ประหยัดเชื้อเพลิงได้ เมื่อเครื่องยนต์มีการทํางานกลไกต่าง ๆ
ที่เคลื่อนที่ภายในเครื่องยนต์ต่างทํางานได้สะดวกขึ้น (ลื่นขึ้น)
ทําให้การตอบสนองจากการจุดระเบิด มีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และเต็มประสิทธิภาพ
ตรงนี้เองเมื่อเครื่องยนต์ทํางานดี มีการสูญเสียกําลังงานน้อยก็จะได้กําลังงานมากขึ้นและเร็วขึ้น
ถึงแม้ไม่สามารถชี้วัดออกมาเป็นตัวเลขได้ แต่ผู้ขับขี่จะได้รับความรู้สึกว่าขับรถยนต์ได้
ระยะทางที่มากขึ้น หลังจากเปลี่ยนถ่ายน้ํามันเครื่องมา เมื่อเป็นดังนี้ ความประหยัดก็จะเกิดขึ้นนั่นเอง
15. ช่วงเวลาที่เหมาะสมเติมน้ํามันเชื้อเพลิง
เวลาที่เหมาะสมสําหรับเติมน้ํามันเชื้อเพลิง คือช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่น้ํามันมีการควบแน่นสูง/อุณหภูมิยังไม่สูงมาก
และควรหลีกเลี่ยงการแวะเข้าปั้มที่รถส่งน้ํามันกําลังจอดอยู่ ในช่วงเวลาที่รถส่งน้ํามัน
ถ่ายน้ํามันลงสู่ถังน้ํามัน จะทําให้ตะกอนที่อยู่ใต้ถังเก็บน้ํามันลอยขึ้นมา
หากเราเติมน้ํามันในช่วงเวลาดังกล่าวก็จะทําให้ตะกอนในน้ํามันเข้ามาสู่ถังน้ํามันของรถยนต์เราด้วยนั่นเอง
ดูแผนที่แต่ละสาขา
