เครื่องยนต์ เป็นเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนพลังงานความร้อนให้เป็นพลังงานกลใช้ขับเคลื่อน ซึ่งเรียกว่าเครื่องยนต์ทางความร้อน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายประเภท
เครื่องยนต์ทางความร้อน มี 2 แบบ คือ
1. เครื่องยนต์สันดาปภายใน
2. เครืองยนต์สันดาปภายนอก
เครื่องยนต์ทั้ง 2 แบบนี้ สามารถแยกออกได้ตามตารางข้างล่างดังนี้
เครื่องยนต์ที่ใช้ในรถยนต์ ต้องมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา เพราะว่าต้องติดตั้งในที่ที่จำกัด เครืองยนต์สามารถผลิตกำลังขับและรอบได้สูงอีกต้องใช้งานง่าย และมีเสียงดังน้อยที่สุด ด้วยเหตุนี้เครื่องยนต์เบนซินหรือเครื่องยนต์แก๊สโซลีนและเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ปัจจุบัน จึงเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ในรถยนต์มากที่สุด
เครื่องยนต์เบนซินหรือเครื่องยนต์แก๊สโซลีน
ส่วนประกอบที่สำคัญ
1. เสื้อสูบ (CYLINDER BLOCK)
โครงสร้าง ทำจากโลหะหรือโลหะผสม
ปกติจะมีขอบสันบนผนังส่วนนอกของมันเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและช่วยระบายความร้อน เสื้อสูบประกอบด้วยกระบอกสูบหลาย ๆ ชุด
ซึ่งมีลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น และลงอยู่ภายใน ส่วนบนของกระบอกสูบถูกผนึกด้วยฝาสูบ
ซึ่งผนึกแน่นด้วยปะเก็นฝาสูบซึ่งอยู่ระหว่าง เสื้อสูบและฝาสูบห้องเพลาข้อเหวี่ยงจะอยู่ส่วนล่างของเสื้อสูบ รอบ ๆ กระบอกสูบ
ถูกหล่อเย็นด้วยน้ำหล่อเย็นและจะมีช่องผ่านของน้ำมันหล่อลื่นอยู่ด้วยภายในเสื้อสูบยังประกอบด้วยกระบอกสูบ ซึ่งเป็นที่
ๆลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นลง ส่วนผสมน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศจะต้องไม่รั่วไหล และความต้านทานของความฝืด
ระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบ จะต้องต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นกระบอกสูบจะต้องผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ฝาสูบ (CYLINDER HEAD)
ฝาสูบติดตั้งอยู่เหนือเสื้อสูบ ส่วนที่ซ่อนอยู่เป็นห้องเผาไหม้ รวมกับกระบอกสูบและลิ้นฝาสูบ
ต้องสามารถทนต่ออุณหภูมิ และกำลังสูงสุดที่จะเกิดขึ้น จากการทำงานของเครื่องยนต์ได้ด้วยเหตุนี้ฝาสูบ
จึงทำมาจากเหล็กหล่อหรือโลหะผสมอลูมิเนี่ยม ซึ่งประสิทธิภาพหล่อเย็นได้ดีกว่าเหล็กหล่อฝาสูบยังประกอบไปด้วย
เสื้อน้ำหล่อเย็น ซึ่งประกบตรงกับเสื้อน้ำหล่อเย็นบนเสื้อสูบ นอกจากนี้ยังใช้หล่อเย็นฝาสูบแล้ว ยังหล่อเย็นหัวเทียนด้วย
3. ลูกสูบ (PISTON)
- โครงสร้าง
ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นและลงภายในกระบอกสูบ เพื่อดำเนินกลวัตรในจังหวะประจุไอดี อัดส่วนผสมจุดระเบิด
และคายไอเสียหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของลูกสูบก็คือรับแรงกดดันจากการเผาไหม้และ้ส่งกำลังนี้ไปสู่เพลาข้อเหวี่ยงโดยผ่านก้านสูบ
ลูกสูบนั้นยังได้รับความร้อนและอุณหภูมิที่สูงที่สุดที่กระทำอยู่ตลอดเวลาและ
จะต้องสามารถคงทนต่อการทำงานที่รอบสูงเป็นเวลานานๆได้ ลูกสูบโดยปกติทำมาจากโลหะผสมอลูมิเนียม
ซึ่งมีน้ำหนักเบาและมีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนได้ดีกว่าวัสดุชนิดอื่นชื่อของชิ้นส่วนต่างๆ
ของลูกสูบมีแสดงอยู่ในภาพประกอบด้านล่างนี้
- ระยะช่องว่างของลูกสูบ (ระยะห่างระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบ)
เมื่อลูกสูบถูกทำให้ร้อนชื้น มันจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย
เป็นผลให้เส้นผ่าศูนย์กลางขยายเพิ่มขึ้นด้วยเหตุนี้ในเครื่องยนต์ทุกเครื่องจึงมีระยะช่องว่างระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบที่เหมาะสมในที่อุณหภูมิห้อง
(25 ํ ช,77 ํ ฟ) ระยะนี้เรียกว่าระยะช่องว่างลูกสูบ ระยะช่องว่างลูกสูบนี้จะผกผันไปขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องยนต์
แต่ระยะตามปรกติจะเริ่มจาก 0.02 ถึง 0.12 มม. (0.0008 ถึง 0.0047 นิ้ว) ลูกสูบจะมีลักษณะเรียวเป็นเทเปอร์เล็กน้อย
คือระยะเส้ยผ่าศูนย์กลางมีหัวลูกสูบจะเล็กกว่าส่วนล่างของของลูกสูบเล็กน้อย ดังนั้นระยะช่องว่าง
ของลูกสูบจึงกว้างมากที่สุดที่หัวลูกสูบ และแคบที่สุดที่ส่วนล่างของลูกสูบ
สำคัญ
ระยะช่องว่างของลูกสูบมีจุดที่วัดแตกต่างกัน
ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องยนต์ดูคู่มือการซ่อมประกอบเพื่อหาจุดที่วัดระยะช่องว่างลูกสูบ
ระยะช่องว่างลูกสูบนี้มีความสำคัญมาก เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างถูกต้องและมีสมรรถนะที่ดีขึ้น ถ้าหากว่าระยะช่องว่างมีน้อย จะทำให้ไม่มีระยะช่องว่างระหว่างลูกสูบกับกระบอกสูบเมื่อลูกสูบร้อนขึ้นจะเป็นเหตุให้ลูกสูบติดกับกระบอกสูบได้ ซึ่งจากผลนี้สามารถทำให้เครื่องยนต์ชำรุดเสียหายได้ ถ้าหากว่าระยะช่องว่างมากเกินไป ในทางตรงกันข้ามกำลังดันที่เกิดจากการเผาไหม้ และแรงดันของแก๊สที่เผาไหม้จะตกลง ทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ลดลง
- แหวนลูกสูบ (PISTON RING)
แหวนลูกสุบจะถูกประกอบไว้ในร่องแหวนลูกสูบ
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกของแหวนลูกสูบจะใหญ่กว่าลูกสูบเองเล็กน้อยเมื่อประกอบเข้ากับลูกสูบคุณสมบัติในการยืดและหดตัวของแหวนทำให้มันขยายตัวเพื่อที่จะแนบให้สนิทกับผนังกระบอกสูบ
แหวนลูกสูบต้องทำด้วยโลหะที่ทนต่อการสึกหรอสูงจำพวกเหล็กหล่อพิเศษชุบโครเมี่ยม
เพื่อว่าแหวนลูกสูบจะไม่ขูดให้กระบอกสูบเป็นรอยจำนวนแหวนลูกสูบแปรผันไปตามชนิดของเครื่องยนต์
โดยปรกติจะมีจำนวนสามถึงสี่แหวนต่อลูกสูบหนึ่งลูก
1) แหวนอัด
แหวนอัดนี้ป้องกันการรั่วของส่วนผสมอากาศและเชื้อเพลิงและแก๊สที่เกิดจากห้องเผาไหม้ระหว่างจังหวะอัด
และจุดระเบิดมิให้ลงสู่ห้องเพลาข้อเหวี่ยงจำนวนของแหวนอัดนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องยนต์
โดยทั่วไปลูกสูบหนึ่งลูกจะมีแหวนอัดสองตัว ซึ่งเรียกว่า "แหวนอัดตัวบน" และ "แหวนอัดตัวที่สอง"
แหวนอัดจะมีลักษณะเป็นเทเปอร์ ดังนั้นขอบล่างของมันจึงสัมผัสกับผนังกระบอกสูบ
การออกแบบเช่นนี้เพื่อให้เกิดการสัมผัสที่แนบสนิทกันเป็นอย่างดี ระหว่างแหวนและกระบอกสูบ
นอกจากนั้นยังทำหน้าที่กวาดน้ำมันเครื่องออกจากผนังกระบอกสูบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำคัญ
แหวนลูกสูบจะมีหมายเลข"1"หรือ"2"อยู่บนตัวมัน หมายเลข"1" มีความหมายว่า แหวนตัวบนและหมายเลข "2" คือแหวนตัวที่สองดังนั้นการประกอบจึงต้องให้หมายเลขนี้หงายขึ้นด้านบน
2) แหวนกวาดน้ำมัน
แหวนกวาดน้ำมันกวาด ทำให้เกิดฟิล์มของน้ำมันที่จำเป็นต่อการหล่อลื่นผิวระหว่างลูกสูบ และผนังกระบอกสูบ
และกวาดน้ำมันส่วนที่เกินออก เพื่อป้องกันมิให้น้ำมันหลุดเข้าไปในห้องเผาไหม้แหวนกวาดน้ำมันบางครั้ง เรียกว่า แหวนที่สาม
มีอยู่ด้วยกันสองชนิดคือ แหวนกวาดน้ำมันแบบรวมกันแบบสามชิ้น ซึ่งแบบสามชิ้นนั้นเป็นที่นิยมใช้มากกว่า
(2.1) แบบรวม
แหวนกวาดน้ำมันแบบรวมนี้จัดให้มีรูน้ำมันไหลกลับ ที่มีขนาดเท่ากันอยู่โดยรอบมากมาย
รวมทั้งรูน้ำมันก็ถูกจัดให้อยู่ตามร่องแหวนกวาดนี้ด้วยน้ำมันส่วนที่เกินจะถูกกวาดออก โดยแหวนกวาด โดยไหลเข้าไปในรูเหล่านี้
และไหลกลับเข้าสู่ด้านในของลูกสูบ
(2.2) แบบสามชิ้น
แหวนกวาดน้ำมันแบบสามชิ้นนี้ประกอบด้วย แผ่นกวาดด้านข้าง
เพื่อกวาดน้ำมันส่วนเกินออกและตัวทางซึ่งดันให้แผ่นกวาดด้านข้างแนบสนิทกับกระบอกสูบ และร่องแหวน แหวนกวาด
น้ำมันแบบสามชิ้นนี้ ทำหน้าที่เช่นเดียวกับแบบรวม
(2.3) ช่องว่างปากแหวน
แหวนลูกสูบจะขยายตัวเมื่อร้อนในลักษณะเดียวกับลูกสูบ
ด้วยเหตุนี้แหวนลูกสูบจึงมีปากตัดที่เดียว และเมื่อประกอบเข้าภายในกระบอกสูบจะเหลือช่องว่างที่เหมาะสม ซึ่งเรียกว่า
ช่องว่างปากแหวน ระยะช่องว่างนี้จะแปรผันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่อง แต่ปกติจะอยู่ในช่วง 0.2ถึง 0.5มม. (0.008 ถึง 0.020
นิ้ว) ที่อุณหภูมิปกติ
สำคัญ
ถ้าระยะช่องว่างปากแหวนมากเกินไป จะทำให้กำลังอัดของเครื่องยนต์ตกถ้าระยะปากแหวนแคบเกินไป
สามารถทำให้เครื่องยนต์ติดได้ เพราะว่าปลายของแหวนจะติดกัน เนื่องจากการขยายตัวจากความร้อน ทำให้แหวนโก่งขึ้น
ทำให้ผนังของกระบอกสูบชำรุด
4. ก้านสูบ (CONNECTING ROD)
ก้านสูบทำหน้าที่ต่อลูกสูบกับเพลาข้อเหวี่ยง
และถ่ายทอดกำลังไปสู่เพลาข้อเหวี่ยงปลายของก้านสูบที่ต่อกับลูกสูบ เรียกว่า
ปลายเล็กส่วนปลายที่เหลือที่ต่อกับเพลาข้อเหวี่ยงเรียกว่าปลายใหญ่ข้อเพลาข้อเหวี่ยงที่หมุนด้วยความเร็วสูงในปลายใหญ่
ทำให้เกิดอุณหภูมิสูง
เพื่อป้องกันมิให้้เกิดการชำรุดจากความร้อนภายในปลายใหญ่จึงประกอบด้วยแบริ่งซึ่งหล่อลื่นด้วยน้ำมันและบางส่วนของน้ำมันนี้จะพุ่งออกจากรูน้ำมันเข้าไปภายในลูกสูบเพื่อให้ลูกสูบเย็น
สำคัญ
การประกอบก้านสูบต้องประกอบให้ถูกต้อง มิฉะนั้นจะทำให้ปิดรูน้ำมัน(อยู่ที่ด้านของลูกสูบ
ที่ริมแรงะกระแทกโดยตรง) เพื่อป้องกันการประกอบผิด
ก้านสูบแต่ละชุดจะมีเครื่องหมายในการประกอบอยู่ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเครื่องดังนั้นต้องทำการตรวจสอบ
กับคู่มือการซ่อมอย่างละเอียด
5. เพลาข้อเหวี่ยง (CRANKSHAFT)
แรงขับที่ใช้ในการขับเคลื่อนล้อของรถยนต์
ได้มาจากการเคลื่อนตัวขึ้นลงของก้านสูบและผลจากหมุนของเพลาข้อเหวี่ยงเพลาข้อเหวี่ยงได้รับแรงจากลูกสูบและก้านสูบทำให้หมุนด้วยความเร็วสูงด้วยเหตุนี้มันจึงทำจากเหล็กไฮเกร็ดผสมคาร์บอนซึ่งมีความทนต่อการสึกหรอสูง
โครงสร้างของเพลาข้อเหวี่ยงดังภาพประกอบด้านล่าง
ข้อเจอร์นัลถูกรองรับด้วยแบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงของห้องเพลาข้อเหวี่ยงและเพลาข้อเหวี่ยงหมุนรอบข้อเจอร์นัลนี้ข้อเจอร์นัลแต่ละข้อมีแขนเพลาข้อเหวี่ยงประกอบอยู่ ข้อเพลาข้อเหวี่ยงติดตั้งอยู่บนเพลาข้อเหวี่ยงเยื้องศูนย์กับแกนของเพลาน้ำหนักถ่วงประกอบอยู่ดังรูป เพื่อลดแรงความไม่สมดุลย์ของการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่เพลาข้อเหวี่ยงมีรูน้ำมันเพื่อใช้ส่งน้ำมันหล่อลื่นให้กับข้อเจอร์นัล แบริ่งก้านสูบ และสลักก้านสูบ
6. ล้อช่วยแรง (FLY WHEEL)
ล้อช่วยแรงทำด้วยเหล็กหล่อที่หนักยึดไว้ด้วยโบลท์เข้ากับปลายของเพลาข้อเหวี่ยง
สำหรับรถที่ใช้ระบบส่งกำลังแบบธรรมดาในจังหวะจุดระเบิดของเครื่องยนต์
ลูกสูบจะถ่ายทอดกำลังให้กับเพลาข้อเหวี่ยงเพียงจังหวะเดียวเท่านั้น เพราะว่านอกจากจังหวะนี้แล้วในจังหวะอื่น ๆ
กำลังจะสูญเสียไปเนื่องจากแรงเฉื่อยกับความฝืดล้อช่วยแรงจะยังคงแรงการหมุน (แรงเฉื่อย)ในระหว่างจังหวะอื่น ๆไว้
นอกเหนือจากจังหวะจุดระเบิด
เพื่อทำให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุนไปอย่างต่อเนื่องนอกจากนี้ยังทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบเรียบด้วยฟันเฟืองที่อยู่รอบขอบวงเกลมของล้อช่วยแรงจะขบกับฟันเฟืองขับของมอเตอร์สตาร์ท
ในขณะที่เริ่มติดเครื่องยนต์ ในรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติล้อช่วยแรงนี้ถูกเปลี่ยนไปเป็นชุดทอร์คคอนเวอร์เตอร์
ข้อมูลอ้างอิง
"การสูญเสียจากแรงเฉื่อย" หมายถึงการสูญเสียกำลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะอัด
ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่ลูกสูบถูกดันให้เคลื่อนตัวขึ้นอัดส่วนผสมอากาศและเชื้อเพลิง
แบริ่งเพลาข้อเหวี่ยง
1.บทบรรยายทั่วไป
เพลาข้อเหวี่ยงได้รับแรงกระทำอย่างรุนแรงจาก (แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้)ลูกสูบ และหมุนด้วยความเร็วที่สูงมาก
ด้วยเหตุนี้แบริ่งจึงจำเป็นต้องใช้รองรับระหว่างข้อเพลาข้อเหวี่ยงและเจอร์นัลและถูกหล่อลื่นด้วยน้ำมันเพื่อป้องกันการยึดติดตามและลดการสูญเสียทางความฝืด
2.ประเภทของแบริ่ง
เพลาข้อเหวี่ยงและชิ้นส่วนอื่น ๆ
ที่หมุนด้วยความเร็วสูงและภายใต้ภาระอันหนักหน่วงจะใช้้แบริ่งแบบรองรับนี้ ซึ่งแบริ่งแบบนี้
มีคุณสมบัติที่ดีต่อความทนทานต่อการสึกหรอ และประสิทธิภาพป้องกันการติดตาย แบริ่งแบบนี้ประกอบด้วยเปลือกนอกที่เป็นโลหะ
และผิวหน้าของแบริ่งที่ทำด้วยโลหะชนิดอื่น
ซึ่งสัมผัสอยู่กับเพลาข้อเหวี่ยงเปลือกโลหะมีขอบล็อคใช้เพื่อป้องกันแบริ่งไม่ให้หมุนแบริ่ง
แบบนี้มีการผลิตออกมาหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีชนิดของเนื้อวัสดุที่ทำผิวหน้าที่แตกต่างกัน โดยทั่ว ๆ
ไปแล้วทำจากโลหะสีขาวโลหะเคลเมท หรืออลูมิเนียม
สำคัญ
แบริ่งแต่ละอันจะมีหมายเลขแบริ่งประทับอยู่
เมื่อต้องการจะเปลี่ยนแบริ่งต้องเปลี่ยนแบริ่งให้มีหมายเลขตรงกับหมาย
เลขของเดิมที่ถูกเปลี่ยนวิธีการเลือกหมายเลขแบริ่ง ให้ศึกษาจากคู่มือการซ่อม
1) โลหะสีขาว
โลหะสีขาวเป็นโลหะเคลือบด้วยดีบุก ตะกั่ว แอนติโมนี สังกะสีหรือสารเคลือบอื่น ๆมันมีการยึดเกาะได้ดี
แต่เพราะว่ามันมีความแข็งแรงน้อย จึงมักถูกใช้ในเครื่องยนต์ที่รับภาระงานไม่มากนัก
2) โลหะเคลเมท
โลหะเคลเมทเป็นผิวโลหะเคลือบด้วยทองแดง และตะกั่วผสมซึ่งมีความแข็งแรงมากกว่าและต้านทานการล้าตัวได้ดีเท่าโลหะสีขาว
แต่มีการยึดเกาะตัวไม่ดีนัก ซึ่งโลหะเคลเมทใช้กับเครื่องยนต์รอบจัด และภาระงานหนัก
3) โลหะอลูมิเนียม
ผิวหน้าอลูมิเนียมเป็นผิวโลหะซึ่งมีอลูมิเนียม และดีบุกผสมห่อหุ้มอยู่ มีประสิทธิภาพในการต้านทานการสึกหรอ
และระบายความร้อนได้ดีกว่าทั้งโลหะสีขาวและกับโลหะเคลเมทซึ่งเป็นที่นิยมใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน
3. ช่องว่างน้ำมันของแบริ่ง
ผิวหน้าสัมผัสระหว่างแบริ่งที่อยู่กับที่กับเพลาข้อเหวี่ยงที่หมุนจำเป็นจะต้องมีน้ำมันจำนวนที่เพียงพอส่งไปหล่อลื่นเพื่อป้องกันการขัดสีกันโดยตรงของโลหะต่อโลหะ
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีช่องว่างที่เหมาะสมระหว่างแบริ่งกับเพลาข้อเหวี่ยง ซึ่งเพียงพอที่น้ำมันสามารถสร้างฟิล์มน้ำมันได้
ช่องว่างนี้เรียกว่า ช่องว่างน้ำมัน ซึ่งขนาดจะแตกต่างกันไปตามชนิดของเครื่องยนต์ แต่โดยทั่ว ๆ ไป
จะมีขนาดเริ่มจาก 0.02 ถึง 0.06 มม. (0.0008 ถึง 0.0024 นิ้ว)
กลไกลิ้น
เครื่องยนต์ 4 จังหวะ ประกอบไปด้วย จังหวะดูด
จังหวะอัด จังหวะระเบิด จังหวะคายไอเสีย แต่การทำงานของลิ้นมีเพียง 2 จังหวะเท่านั้น คือ จังหวะประจุไอดีและคายไอเสีย
ดังนั้นการออกแบบกลไกลิ้น เพื่อให้ทำงานเช่นนั้นคือ เพลาลูกเบี้ยวหมุน 1รอบ ต่อการทำงานของลิ้นไอดี
และลิ้นไอเสียที่เพลาลูกเบี้ยวหมุนรอบที่สองก็จะทำงานครบ 1 กลวัตร
มูเลย์ไทม์มิ่ง จะประกอบติดอยู่ปลายหนึ่งของเพลาข้อเหวี่ยง
ส่วนมูเลย์ไทม์มิ่งของเพลาลูกเบี้ยวก็จะยึดติดอยู่กับปลายด้านหนึ่งของเพลาลูกเบี้ยว
เพลาลูกเบี้ยวไอเสียถูกขับด้วยเพลาข้อเหวี่ยงโดยสายพาน
ส่วนเพลาลูกเบี้ยวไอดีถูกขับโดยเฟืองที่ถูกยึดติดกับเพลาลูกเบี้ยวไอดีและไอเสีย (สังเกตได้จากดังรูปข้างบน)
จำนวนฟันของมูเลย์ไทม์มิ่งเพลาลูกเบี้ยว จะมีจำนวนมากเป็น 2 เท่าของมูเลย์ไทม์มิ่งเพลาข้อเหวี่ยง คือ เพลาลูกเบี้ยวหมุน 1
รอบ เพลาข้อเหวี่ยงหมุน 2 รอบการที่ลิ้นจะทำงานได้อย่างสมดุลย์ และถูกต้องตามจังหวะการทำงาน
จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ กลไกลิ้นจะแตกต่างกันแล้วแต่เครื่องยนต์ที่ผลิตขึ้น จะขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. แบบเฟืองไทมมิ่ง
กลไกขับลิ้น แบบเฟืองไทม์มิ่ง
ใช้กับเครื่องยนต์ที่มีกลไกลิ้นอยู่เหนือฝาสูบซึ่งเพลาลูกเบี้ยวอยู่ในเสื้อสูบอย่างไรก็ตามการใช้เฟืองไทม์มิ่ง
การทำงานจะเกิดเสียงดังมากกว่าแบบโซ่ไทม์มิ่ง ด้วยเหตุนี้
วิธีการขับลิ้นแบบนี้ไม่เป็นที่นิยมใช้ในเครื่องยนต์เบนซินสมัยใหม่
2. แบบโซ่ไทม์มิ่ง
กลไกขับลิ้น แบบโซ่ไทมมิ่ง
แบบนี้ใช้ในเครื่องยนต์ที่ใช้เพลาลูกเบี้ยวอยู่เหนือฝาสูบและเพลาลูกเบี้ยวคู่อยู่เหนือฝาสูบ
เพลาลูกเบี้ยวจะถูกขับโดยโซ่ไทม์มิ่ง และจะถูกหล่อลื่นด้วยน้ำมันเครื่อง ความตึงของโซ่จะถูกปรับตัวโดยตัวตั้งโซ่และมี
ตัวดันโซ่คอยช่วยลดการสะเทือนของโซ่ เพลาลูกเบี้ยวที่ใช้โซ่เป็นตัวขับนี้จะทำงานเงียบกว่าแบบเฟืองไทมมิ่ง
จึงทำให้เป็นที่นิยมใช้เมื่อไม่นานมานี้
3. แบบสายพานไทมมิ่ง
กลไกขับลิ้น แบบสายพานไทมมิ่ง เพลาลูกเบี้ยวถูกขับด้วยสายพานแบบมีฟันแทนที่การใช้โซ่ไทม์มิ่ง สายพานนั้นจะทำงานได้เงียบกว่าโซ่ และไม่ต้องการการหล่อลื่น หรือการปรับตั้งความตึงอีกทั้งสายพานยังมีน้ำหนักน้อยกว่า วิธีการขับลิ้นแบบอื่น ด้วยเหตุนี้ ปัจจุบันนิยมใช้ในเครื่องยนต์เป็นส่วนมาก
7. อ่างน้ำมันเครี่อง (OILPAN)
อ่างน้ำมันเครื่อง ที่กล่าวถึง เป็นลำดับสุดท้ายในส่วนของชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ดังรูป
ส่วนล่างสุดของเสื้อสูบ เรียกว่า เพลาข้อเหวี่ยง ซึ่งอ่างน้ำมันเครื่องถูกยึดติดอยู่และประสานด้วยปะเก็นเหลวหรือปะเก็นยางหรือปะเก็นกระดาษ อ่างน้ำมันเครื่องทำจากเหล็กแผ่นขึ้นรูป และมีแผ่นกั้นซึ่งทำหน้าที่กันน้ำมันเครื่อง ให้อยู่ที่ก้นอ่างเมื่อรถไม่อยู่บนที่ระดับ และกันกระเด็นออก เมื่อมีการเหยียบเบรกในทันทีทันใด ทำให้ปั้มน้ำมันสามารถที่จะส่งน้ำมันไปหล่อลื่นได้ตลอดเวลา ส่วนการถ่ายน้ำมันเครื่องจะมีจุดถ่ายอยู่ส่วนล่างสุดของอ่าง
หลักการพื้นฐานของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ
จังหวะประจุไอดี
จังหวะนี้เป็นจังหวะซึ่งส่วนผสมของอากาศ และเชื้อเพลิงถูกดูดเข้าสู่กระบอกสูบซึ่งลิ้นไอดีเปิดในขณะที่ลิ้นไอเสียปิด
ขณะที่ลูกสูบเคลื่อนตัวลง
สุญญากาศจะเกิดขึ้นในกระบอกสูบและส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงจะถูกผลักดันให้เข้าสู่กระบอกสูบโดยแรงดันบรรยากาศ
จังหวะอัด
ในจังหวะนี้เป็นจังหวะซึ่งส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงถูกอัดตัว
ทั้งลิ้นไอดีและลิ้นไอเสียปิดสนิทขณะที่เครื่องยนต์เคลื่อนจากจุดศูนย์ตายล่างสู่จุดศูนย์ตายบนส่วนผสมจะถูกอัดตัวทำให้ทั้งกำลังดันและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยในการจุดระเบิดเพลาข้อเหวี่ยงหมุนครบหนึ่งรอบเมื่อมันเคลื่อนถึงจุดศูนย์ตายบน
จังหวะจุดระเบิด
จังหวะนี้คือจังหวะที่เครื่องยนต์ผลิตกำลังในการขับเคลื่อนรถยนต์เนื่องจากก่อนที่ลูกสูบจะเคลื่อนถึงจุดศูนย์ตายบนในจังหวะอัดหัวเทียนจะจุดประกายไฟให้กับส่วนผสมของอากาศและเชื้อเพลิงทำให้เกิดการลุกไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็วมากทำให้เกิดแรงดันของแก๊สดันลูกสูบให้เคลื่อนตัวลงซึ่งแรง
นี้คือกำลังของเครื่องยนต์นั่นเอง
จังหวะคายไอเสีย
ในจังหวะนี้แก๊สที่เกิดจากการเผาไหม้จะถูกขับไล่ออกจากกระบอกสูบ
ลิ้นไอเสียเปิดออกและลูกสูบจะเคลื่อนตัวขึ้นจากศูนย์ตายล่างสู่ศูนย์ตายบน
ผลักดันให้แก๊สไอเสียออกจากกระบอกสูบเมื่อลูกสูบเคลื่อนถึงศูนย์ตายบนมันก็จะเริ่มต้นสู่จังหวะประจุไอดีอีกครั้ง
จากที่อธิบายมาจนถึงจุดนี้เพลาข้อเหวี่ยงหมุนสองรอบ และเครื่องยนต์ก็จะทำงานครบหนึ่งกลวัตร ประกอบด้วยสี่จังหวะ
คือจังหวะประจุไอดีอัดส่วนผสม จุดระเบิดและคายไอเสีย ซึ่งเป็นการทำงานขั้นพื้นฐานของเครื่องยนต์สี่จังหวะ
ระบบหล่อลื่น
เครื่องยนต์ประกอบด้วยชิ้นส่วนโลหะที่เคลื่อนไหวอยู่มากมายซึ่งแต่ละชิ้นส่วนจะประกอบกันอยู่อย่างแน่นอน
ชิ้นส่วนเหล่านั้นรวมถึงเพลาข้อเหวี่ยง ก้านสูบ และ ชิ้นส่วน
กลไกลิ้น
เมื่อเครื่องยนต์เริ่มต้นหมุน ความฝืดระหว่างชิ้นส่วนเหล่านี้ทำให้เกิดการสูญเสียกำลังงานสึกหรอ
รวมทั้งการยึดติดของเครื่องยนต์ อันเนื่องมาจากความร้อนจากการเสียดสี
ดังนั้นน้ำมันหล่อลื่นจึงถูกส่งไปยังชิ้นส่วนเหล่านั้น เพื่อป้องกันอาการอันไม่พึงปรารถนาเหล่านั้น
ซึ่งน้ำมันหล่อลื่นถูกส่งจ่ายโดยระบบหล่อลื่นของเครื่องยนต์นั่นเอง ภาพด้านล่างแสดงการหล่อลื่นกลไกของเพลาขณะที่หมุน
บทบาทของน้ำมันหล่อลื่น
1).น้ำมันหล่อลื่นจะสร้างเคลือบผิวน้ำมันเหนือผิวโลหะที่ติดกัน
เพื่อป้องกันการสัมผัสกันโดยตรงของ
โลหะและยังลดการเสียดสีให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด เพื่อป้องกันการสึกหรอและการเกิดความร้อน
2).น้ำมันทำให้ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เย็นลง
3).น้ำมันช่วยทำให้มีการป้องกันการรั่วระหว่างลูกสูบ และกระบอกสูบได้อย่างเหมาะสม
4).น้ำมันนำพาสิ่งสกปรกออกจากเครื่องยนต์
5).น้ำมันป้องกันชิ้นส่วนจากการกัดกร่อน
ประเภทของระบบหล่อลื่น
น้ำมันถูกส่งจ่ายไปยังชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของเครื่องยนต์ได้หลายแบบ เช่น แบบแรงดันแบบวิดสาด และแบบรวม
แบบวิดสาดกับแบบแรงดันเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะแบบแรงดันเป็นแบบที่ใช้กับเครื่องยนต์ในปัจจุบัน ในระบบหล่อลื่นแบบแรงดัน
น้ำมันถูกทำให้เกิดแรงดันโดยปั๊มน้ำมันแบบกลไกและส่งไปยังชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของเครื่องยนต์
ขอบคุณภาพ
me.psu.ac.th