phithan-toyota.com | พิธานพาณิชย์ จำกัด ศูนย์บริการและจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าทุกรุ่น

บทความ

ถามตอบเกี่ยวกับน้ำมัน

หมวด เทคนิคเกี่ยวกับรถ | จำนวนคนอ่าน 40779 ครั้ง | เมื่อ : 15 พ.ย. 2550 | ส่งบทความนี้ให้เพื่อน


เนื่องจากน้ำมันเบรกเป็นสารประกอบที่คุณสมบัติดูดซับความชื่นได้ง่าย โดยจะสัมผัสกับอากาศที่อยู่ภายในกระปุกน้ำมันเบรก       เพราะว่าจะมีอากาศผ่านเข้าไปภายใน   ผ่านทางรูหายใจ    เมื่อเบรกทำงานจะเกิดการดูดซับไอน้ำจากอากาศ     เพราะฉะนั้นจำนวนไอน้ำที่ผสมอยู่ในน้ำมันเบรคจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่ใช้    และทำให้จุดเดือดต่ำลง     น้ำมันเบรกจึงกลายเป็นไอได้ง่ายเมื่อน้ำมันเบรกร้อน    ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการส่งแรงดันไปยังผ้าเบรกต่ำลง การเบรกจะอันตรายมากขึ้น     

 
สามารถพิจารณาได้จากการแบ่งระดับ SAE โดยที่น้ำมันเกรดเดียวจะมีช่วงอุณหภูมิที่สามรถใช้ได้นั้นแคบ ดังนั้นน้ำมันเกรดเดียวจึงเหมาะสำหรับแต่ละฤดู ซึ่งต้องการใช้โดยเฉพาะ ส่วนน้ำมันเกรดรวมนั้นสามารถใช้ได้ทุกฤดูกาล เนื่องจากช่วงอุณหภูมิที่สามารถใช้ได้กว้าง ปัจจุบันน้ำมันเกรดรวมเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถใช้ได้ในช่วงอุณหภูมิกว้าง และมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันสูง การแบ่งระดับชั้น SAE คือการแบ่งระดับของน้ำมันโดยความหนืด และช่วงอุณหภูมิที่สามารถใช้น้ำมันนี้ได้ ระดับ SAE มีทั้งสิ้น 11 ระดับ จาก 0W - 60 ดังนี้ 0w , 5w , 10w , 15w , 20w , 25w , 20 ,30 , 40 , 50 และ 60 จำนวนตัวเลขที่มากขึ้นหมายถึง ความหนืดมากขึ้นด้วย ( เกรดที่มี W ต่อท้ายจะต้องผ่านการทดสอบค่าแรงเสียดทานภายใต้อุณหภูมิต่ำ เหมาะสำหรับภูมิอากาศหนาว )

ตัวอย่างสำหรับเครื่องยนต์ของโตโยต้า สามารถแบ่งประเภทน้ำมันเครื่อง ออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ได้แก่
   - น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ SAE 5W-40 API SH
   - น้ำมันเครื่องเบนซิน SAE 10W-30 API SJ
   - น้ำมันเครื่องเบนซิน SAE 20W-40 API SH
2. น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ได้แก่
   - น้ำมันเครื่องดีเซล SAE 15W-40 API CF-4      
 
  
เศษผงโลหะต่าง ๆ จากการสึกหรอของเครื่องยนต์รวมทั้งผงคาร์บอนและสิ่งสกปรกต่าง ๆ จะยังคงอยู่เช่น ยางเหนียวที่สะสมอยู่ในน้ำมัน
เครื่อง (เนื่องจากน้ำมันเสื่อมสภาพ) หลังจากระยะเวลาในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องได้ผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อสารเพิ่มคุณภาพได้ถูกใช้ไปหมดทำให้น้ำมันเครื่องมีประสิทธิภาพการหล่อลื่นลดลงและเกิดผลเสียต่อเครื่องยนต์ในที่สุด    
    

ขณะขึ้นเขาใช้เกียร์ " D " ได้ตามปกติ เพราะเกียร์จะเปลี่ยนให้ตามสภาพตามความเร็ว และความต้องการแรงขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ แต่ในขณะลงเขา ถ้าความเร็วไม่มาก ความชันไม่มากก็ยังคงใช้เกียร์ " D " ได้

สำหรับการลงเขาที่มีความชันมาก และมีความเร็วมาก ควรเปลี่ยนเป็น " 2 " หรือ " L " เพื่อให้เครื่องช่วยในการเบรก ไม่ควรใช้เบรกมือช่วย เพราะจะทำให้เบรกร้อนจนเบรกไม่อยู่    
    
 
เนื่องจากน้ำมันเครื่องค่อยๆ ทำปฏิกิริยารวมตัวกับออกซิเจนในอากาศและเสื่อมสภาพลง แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้รถก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของการเดินทางเป็นระยะสั้นๆ ซึ่งเครื่องยนต์ ได้หยุดการทำงานก่อนที่น้ำมันเครื่องจะร้อนขึ้นทำให้ความชื้นที่ผสมอยู่ในน้ำมันเครื่องไม่มีโอกาสระเหยออกมา ขณะเดียวกันสารเพิ่มคุณภาพต่างๆในน้ำมันจะถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องสั้นลง ดังนั้นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องจึงถูกกำหนดให้เปลี่ยนตามระยะเวลาด้วย      
      
 
ถ้าเราใช้น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินกับเครื่องยนต์ดีเซลมีผลทำให้การหล่อลื่นแย่ลง และเครื่องยนต์เกิดการกัดกร่อนและเสียหายอย่างรวดเร็ว

เหตุผล
น้ำมันโซล่าหรือน้ำมันดีเซลประกอบด้วยสารประกอบประเภทกรด เช่น ซัลเฟอร์มากกว่าน้ำมันเบนซิน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเติมสารเพิ่มคุณภาพประเภทต้านทานการรวมตัวกับออกซิเจน และการป้องกันสนิมลงในเครื่องยนต์ดีเซลมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เมื่อใช้น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลในรถยนต์เบนซิน ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น แต่ถ้ายังใช้น้ำมันเครื่องนี้ต่อไปอีกระยะยาวจะก่อให้เกิดปัญหา ขึ้น เช่น กำลังของเครื่องยนต์ลดลง เพราะว่าการหล่อลื่นในเครื่องยนต์แย่ลงจะเกิดการสึกหรออย่างรวดเร็ว

เหตุผล
น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลประกอบด้วยสารช่วยชะล้างทำความสะอาดในปริมาณน้อยซึ่งทำงานอยู่ในช่วงอุณหภูมิต่ำ - กลาง ดังนั้นเมื่อใช้น้ำมันเครื่องนี้ในเครื่องยนต์เบนซินเป็นระยะเวลานานทำให้ความสามารถในการละลายยางเหนียวในน้ำมันที่อุณหภูมิต่ำไม่เพียงพอ และยางเหนียวจะรวมตัวเป็นตะกอนซึ่งขัดขวางการไหลเวียนของน้ำมัน และส่งผลทำให้การหล่อลื่นในเครื่องยนต์แย่ลง
   
การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง กรณีรถใช้งานไม่หนัก (เช้าขับไปทำงาน-เย็นขับกลับบ้าน) รถไม่ติด จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามระยะหรือไม่ ถ้าสภาพน้ำมันเครื่องยังไม่ดำ ?     
ควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กม. เพราะรถเป็นรถใช้ตามปกติไม่หนัก แต่น้ำมันเครื่องต้องถูกต้องตามคู่มือของโตโยต้าระบุไว้      
   
ในสภาวะที่น้ำมันแพง เรามีความจำเป็นจะต้องจอดรถอยู่กับบ้านเป็นเวลาหลายวันอยากทราบว่าจะมีผลเสียอะไรหรือไม่ ?    
ถ้าจอดภายใน 1 สัปดาห์ ควรจะนำรถออกมาขับบ้าง อย่าติดเครื่องยนต์อย่างเดียว ระบบทุกระบบของเครื่องยนต์จะได้ทำงาน ชิ้นส่วนของรถยนต์ต่าง ๆ จะไม่เสียเร็วเช่น ยาง ถ้าจอดอยู่กับที่นาน ๆ แก้มยางจะเสียรูป
   
การเติมน้ำมันสลับกัน เช่น เดือนนี้เติมเซลล์ เดือนหน้าเติม เอสโซ่ จะมีผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่ ?เอสโซ่ จะมีผลต่อเครื่องยนต์หรือไม่ ?    
    -ไม่มีผลแต่ขึ้นอยู่กับน้ำมันที่เติมว่าถูกต้องตามกระทรวงพาณิชย์ระบุไว้หรือเปล่า
    -ถ้าไปเติมน้ำมันที่มีสาร SOLVENT เจือปน สารตัวนี้จะมีราคาถูก อาจทำให้เครื่องยนต์มีปัญหาได้        
 
การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง      
การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง คือ การวัดปริมาณการใช้น้ำมันของรถยนต์ ต่อหน่วยระยะทาง ดังนั้นการที่แสดงว่าเครื่องยนต์หรือรถยนต์มีการประหยัดน้ำมันได้เท่าไหร่นั้นก็คือ การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อที่จะแสดงค่าการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ มีวิธีวัดที่แตกต่างกันอยู่ 2 วิธี คือ

    หนึ่ง. คือการวัดโดยขับรถที่ระยะทางคงที่ และวัดประมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ไปหน่วยที่ใช้วัดคือ จำนวนลิตรต่อ 100 กม. (L/100)
    สอง. คือการวัดระยะทางที่รถวิ่งต่อประมาณเชื้อเพลิงที่กำหนดให้ หน่วยที่ใช้วัดคือ กม./ลิตร (กม./L) หรือ ไมล์ต่อแกลลอน

หมายเหตุ  
       ค่าการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ได้จากการวัดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสภาพของการขับขี่ในขณะทำการวัด (เช่นสภาวะอากาศ สภาพเครื่องยนต์ ภาระ สภาพของถนน ในเมือง ทางหลวง ภูเขา ฯลฯ ) ค่าการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ประกาศโดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์นั้น ๆ บางครั้งอาจจะไม่ตรงกับที่เปรียบเทียบกับการขับขี่อย่างธรรมดาทั้งนี้เพราะว่าผู้ผลิตจะโฆษณาค่าการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ได้รับจากการทดสอบในสภาพที่แตกต่างกันออกไป

การตรวจระดับน้ำมันเครื่อง      

  • จอดรถอยู่ในแนวระดับ อุ่นเครื่องยนต์จนถึงอุณหภูมิทำงาน แล้วดับเครื่องยนต์ทิ้งไว้ 2-3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับมาลงอ่าง แล้วจึงทำการวัด
  • ตรวจระดับน้ำมันเครื่องที่ปลายก้านวัดน้ำมันเครื่อง ควรอยู่ระหว่างขีด " F " และ  " L "
  • ถ้าไม่ได้ระดับให้เติมน้ำมันเครื่องทีละน้อย

ข้อควรระวัง
     1. อย่าเติมน้ำมันเครื่องมากเกินไปเพราะเครื่องยนต์อาจเสียหาย
     2. ระวัง สัมผัสถูกท่อร่วมไอเสียขณะร้อน

สารเติมแต่ง (additive)     

  • Anti - Corrosives (สารป้องกันการกัดกร่อน) ป้องกันการกัดกร่อนของกรดกำมะถัน ซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ของกรดกำมะถันที่อยู่ในน้ำมันเชื้อเพลิง
  • Anti - Oxidants (สารป้องกันปฏิกิริยากับออกซิเจน) ป้องกันการเกิดOxidantsซึ่งจะทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของน้ำมันเครื่องและเกิดกรดทำให้กัดกร่อนชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ป้องกันไม่ให้น้ำมันเครื่องแปรสภาพเป็นยางเหนียวโคลนเมื่อเครื่องยนต์ร้อนจัด
  • Detergents (สารชะล้างเขม่า) เป็นสารช่วยชะล้างเขม่า ทำความสะอาดภายในเครื่องยนต์ และรักษาสิ่งสกปรกให้แขวนลอยอยู่ในน้ำมันหล่อลื่น กรองน้ำมันหล่อลื่นจะสามารถดักสารแขวนลอยออกไปจากน้ำมันหล่อลื่นได้ง่าย จึงทำให้เครื่องยนต์สะอาด
  • Foam In hibitors (สารป้องกันการเกิดฟอง) เป็นสารที่ช่วยลดการเกิดฟองในน้ำมันหล่อลื่นที่ไหลเวียนในระบบ โดยลดแรงตึงผิวจึงเกิดการเป็นฟองได้ยากขึ้น
  • Viscosity Index Improvers (สารปรับปรุงดัชนีความหนืด) เป็นสารที่เพิ่มค่าดัชนี้ความหนืดของน้ำมันหล่อลื่น ช่วยรักษาความหนืดได้คงที่อยู่เสมอแม้ว่าอุณหภูมิจะสูงหรือต่ำก็ตาม
  • Pour Point Depressant (สารลดจุดไหลตัวของน้ำมัน) เป็นตัวทำให้น้ำมันหล่อลื่นสามารถไหลได้ดีที่อุณหภูมิต่ำ จะทำให้การสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะอากาศหนาวทำได้ง่ายขึ้น
  • Extreme Pressure (สารป้องการสึกหรอ) เป็นตัวทำให้น้ำมันหล่อลื่นลดแรงเสียดทานของโลหะที่เคลื่อนไหวเสียดสีกัน เพื่อลดการสึกหรอของชิ้นส่วน และช่วยป้องกันไม่ให้โลหะละลายติดกันเมื่อชิ้นส่วนขาดการหล่อลื่นชั่วขณะ

น้ำมันเกียร์      
สถาบันปิโตรเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา (API) ได้แบ่งชั้นน้ำมันเกียร์ออกตามการออกแบบของชุดเกียร์และภาระการทำงาน น้ำมันเกียร์ยังคงมีค่าความหนืด SAE ต่าง ๆ กัน แต่จะไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับน้ำมันหล่อลื่นของเครื่องยนต์

พิกัดบริการของน้ำมันเกียร์ตาม API
GL1 เป็นน้ำมันเกียร์ใช้งานทั่วไป
GL2 เป็นน้ำมันเกียร์ใช้กับเฟืองหนอน
GL3 เป็นน้ำมันเกียร์ใช้งานหนักสำหรับห้องเกียร์ธรรมดา และสำหรับเฟืองดอกจอกฟันโค้ง
         ที่ใช้งานหนักปานกลาง
GL4 เป็นน้ำมันเกียร์งานหนักสำหรับเฟืองท้ายที่เป็นแบบ เฟืองไฮปอยด์
GL5 เป็นน้ำมันเกียร์งานหนักอเนกประสงค์สำหรับเฟืองท้ายแบบ เฟืองไฮปอยด์ และ
         ดิฟเฟอเรนเซียลแบบต้านการลื่นไถล

     
ข้อควรระวังในการใช้น้ำมันเบรก     

  1. อย่าใช้น้ำมันเบรกปะปนกันการผสมน้ำมันเบรกต่างชนิดกันจะทำให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดลง และปฎิกริยาหักล้างกันในน้ำมันเบรก ทำให้สภาพของน้ำมันเบรกเปลี่ยนแปลงไป หรือ น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ
  2. อย่าให้มีน้ำมันเบรกปนกับน้ำอย่าให้มีน้ำหรือของเหลวอย่างอื่นปะปนในน้ำมันเบรก ซึ่งจะเป็นผลให้จุดเดือดของน้ำมันเบรกลดลง และสภาพของน้ำมันเบรกเสื่อม
  3. อย่าใช้น้ำมันเบรกปนกับน้ำมันแร่หรือน้ำมันทำความสะอาดน้ำมันแร่และน้ำมันทำความสะอาดมีผลต่อการชำรุดของชิ้นส่วนยางเมื่อทำการถอดประกอบเบรคต้องทำความสะอาดน้ำมันเครื่องและน้ำมันทำความสะอาดออกจากชิ้นส่วนออกให้หมด
  4. เก็บรักษาน้ำมันเบรกให้ถูกต้องเพื่อป้องกันน้ำมันเบรกจากการปะปนกับน้ำสิ่งสกปรกและฝุ่นภาชนะที่บรรจุควรมีฝาปิดมิดชิดแน่นหนาระหว่างการเก็บรักษา
     
หมวด เทคนิคเกี่ยวกับรถ | จำนวนคนอ่าน 40779 ครั้ง | เมื่อ : 15 พ.ย. 2550 | ส่งบทความนี้ให้เพื่อน

    แสดงความคิดเห็น (12)

  • ความเห็นที่ 1
  • วิธีขับรถเกียร์ออโต้ให้ปลอดภัยควรทำอย่างไรบ้างครับเพราะเห็นมีข่าวบ่อยมากครับกำลังจะเปลื่อนรถว่าจะลองใช้ออโต้เลยไม่แน่ใจช่วยตอบด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
  • จาก : นายสมนึก อยู่ทองดี
  • เมื่อ : 2008-03-12 13:56:24
  • ความเห็นที่ 2
  • มีบทความเกี่ยวกับการขับขี่ http://www.phithan-toyota.com/th/article_detail.php?article_id=201&category_id=7&read=1
    ลองเข้าไปอ่านดูครับ คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้อง
  • จาก : เดชอุดม
  • เมื่อ : 2008-03-13 14:58:43
  • ความเห็นที่ 3
  • พอดีเห็นการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสูตร B5Plus ไม่ทราบว่ารถรุ่นวีโก้จะใช้ได้หรือเปล่า ช่วยให้คำตอบด้วยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้า
  • จาก : ผู้ใช้วีโก้อยากทราบข้อมูลประหยัดพลังงาน
  • เมื่อ : 2008-04-08 10:23:51
  • ความเห็นที่ 4
  • เบนซิน 91 กับ ก๊าซโซฮอล์ 95 ควรเติมอะไรดีกว่ากัน
  • จาก : montha
  • เมื่อ : 2008-05-29 11:34:56
  • ความเห็นที่ 5
  • โตโยต้า โคโรล่า รุ่น 1600 จีทีไอ(หัวฉีด) สามารถเติมแก๊สโซฮอล 95 ได้มั๊ยครับ ต้องเปลี่ยนอะไรหรือเปล่าครับ ช่วยตอบด้วยครับ
  • จาก : จิรยุทธ์
  • เมื่อ : 2008-11-19 12:57:15
  • ความเห็นที่ 6
  • ถ้าต้องการขายรถกระบะฟอร์ดเรนเจอร์แค๊ปเปิดได้ที่ศุนย์โตโยต้า...ราคาสักประมาณเท่าไหร่รถปี 2003 วิ่งได้51000 กิโลเมตร รถใช้มือเดี่ยว ออกรถโตโยต้าเลยได้ไหมครับ...
  • จาก : สมนึก อยู่ทองดี
  • เมื่อ : 2009-02-22 13:26:57
  • ความเห็นที่ 7
  • ดีค่ะ หากต้องการขายรถเก่า เชิญได้ที่นี่

    www.phithan-usedcar.com
  • จาก : ต.
  • เมื่อ : 2009-02-23 11:08:40
  • ความเห็นที่ 8
  • ราคาน้ำมันตามตารางการบำรุงรักษาใช่ไหมครับ..........
  • จาก : pipat
  • เมื่อ : 2009-12-21 10:12:18
  • ความเห็นที่ 9
  • ผมกำลังซื้อวีออส จากศูนย์โตโยต้าแห่งหนึ่ง รับรถ 28 กค.53ผมกำลังตัดสินใจดูว่าจะรับบัตรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องตลอดอายุการใช้งาน 5000 บาท ดีหรือไม่ หรือจะไม่รับดี เลยอยากทราบข้อแตกต่าง ครับว่า ถ้ารับแล้ว จะคุ้มจริงรึเปล่าอีกอย่างไม่ทราบว่าเปลี่ยนถ่ายแต่ละครั้งประมาณเท่าไหร่ ต้องจ่ายค่าอะไรบ้าง อยากรู้ อย่างไหนดีกว่าครับ
  • จาก : ตะวัน แก้วดีเลิศ
  • เมื่อ : 2010-07-21 16:46:39
  • ความเห็นที่ 10
  • ทำไมต้องเติมน้ำมันเครื่องด้วย
  • จาก : อะไรไม่รุ
  • เมื่อ : 2010-12-05 09:57:40
  • ความเห็นที่ 11
  • อุณหภูมิ(อากาศ)ร้อน.เย็น มีผลต่ออานุภาค หรือ โมเลกุลของน้ำมันดีเซลหรือเปล่า
  • จาก : ยงยุทธิ์ หาริกัน
  • เมื่อ : 2011-03-12 23:33:27
  • ความเห็นที่ 12
  • Toyota camry 2.0 ใช้งานมา 4 ปี วิ่งมา 31,000 กม. ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคใหม่ หรือไม่ อายูของน้ำมันเบรก กำหนดด้วยเวลา หรือระยะทาง ครับ แล้วผ้าเบรคที่ใช้มาหากยังไม่หนาอยู่ ควรเปลี่ยนตามระยะเวลาหรือไม่
  • จาก : sam
  • เมื่อ : 2011-04-04 12:33:25

NEW HILUX REVO C-Cab 2x4 ราคาเริ่มต้น 775,000 บาท

พิเศษ : ขยายการรับประกัน 5 ปี หรือ 150,000 km. และฟรีค่าแรง 5 ปีหรือ 100,000 km.

ขอใบเสนอราคา